ประวัติความเป็นมา
 
ลักษณะทางกายภาพของบ้านยางชุมใหญ่
 
ขนาด ที่ตั้ง และอาณาเขต
        บ้านยางชุมใหญ่ตั้งอยู่ตอนเหนือของจังหวัดศรีสะเกษ ในเขตอำเภอยางชุมน้อย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 16 กิโลเมตร และห่างจากตัวอำเภอประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ระหว่างเส้นรุ้ง ( ละติจูด ) ที่ 14 – 15 องศาเหนือ และเส้นแวง ( ลองจิจูด ) ที่ 104 – 105 องศาตะวันออก    อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 120 เมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร  มีความกว้างจากทิศเหนือจดทิศใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร และมีความยาวจากทิศตะวันออกจดทิศตะวันตกประมาณ 4 กิโลเมตร
ทิศเหนือ ติดต่อกับบ้านจอม ตำบลบึงบอน อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ 
และบ้านโนน ตำบลบึงบอน อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตบ้านผักขะ ตำบลลิ้นฟ้า อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ 
 และติดต่อกับบ้านดินดำ ตำบลลิ้นฟ้า อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตบ้านลิ้นฟ้า ตำบลลิ้นฟ้า อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตบ้านเขวาน้อย ตำบลยางชุมน้อย อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านคอนกาม บ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
 
ลักษณะภูมิประเทศของบ้านยางชุมใหญ่
       ลักษณะภูมิประเทศของบ้านยางชุมใหญ่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มทิศเหนือลุ่มแม่น้ำมูล มีหนองน้ำมาก เช่น หนองโน หนองแซง หนองตู๋ หนองตากลม หนองเขมร หนองสองห้อง หนองมูก หนองอีเจิม เหมาะสำหรับเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นแหล่งชุกชุมของกุ้ง หอย ปู ปลา เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
เดิมลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านเป็นสันโนนกลม เนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ มีบึงล้อมรอบมีเส้นทางออกจากหมู่บ้านเส้นทางเดียว น่าจะเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของชาวขอมมาก่อน
โนนป่าคา ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร มีชื่อเรียกว่า โนนปลาคา ( เหล่าปาคา ) บางท่านเล่าว่าเป็นโนน เป็นสถานที่ที่ปลาลอยน้ำขึ้นไปหาอาหารในช่วงฤดูฝน เสร็จจากหาอาหารก็จะลอยลงมาตามน้ำไม่ทันก็จะคาอยู่บนพื้นสันโนนเป็นจำนวนมากก็เลยได้ชื่อว่าโนนปลาคา บางท่านเล่าว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสันโนนมีหญ้าคาจำนวนมาก สามารถเกี่ยวนำมาทำเป็นหลังคาบ้านได้ จึงได้รับขนานนามว่าเหล่าป่าคา ปัจจุบันนี้โนนป่าคาได้รับการดูแลขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะประโยชน์ในเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ โดยการดูแลของสภาตำบลยางชุมใหญ่ เดิมเมื่อประมาณปี พุทธศักราช 2515 ผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ได้ลงความเห็นที่จะสงวนผืนดินแห่งนี้ไว้เป็นที่ตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบล ปัจจุบันปี2549 มีราษฎรบุกรุกแผ้วถางทำการเกษตร และมีการเสนอผู้นำหมู่บ้านที่จะให้คืนเกษตรกร ซึ่งมีความเป็นสภาพสาธารณะเฉพาะเสาหลักเท่านั้น แต่สภาพความเป็นจริง เป็นสวนของชาวบ้าน ทั้งหมดแล้ว
การดำเนินการในช่วงแรกเป็นเพียงการสงวนไว้ แต่ยังไม่ได้มีการประสานงานขอจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำตำบลแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะประชากรในตำบลยางชุมใหญ่มีน้อย ยังไม่เข้าเกณฑ์ขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียนได้ เมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ชาวบ้านที่มีไร่นาที่ติดกับผืนดินดังกล่าว ก็ได้รุกทำไรไถนา  ปลูกต้นไม้ทำมาหากิน  เข้าไปในผืนดินแห่งนั้นเข้าไปเรื่อย ๆ ประกอบกับสภาพผืนดินมีราคาแพงขึ้น ทำให้การบุกรุกมากขึ้น และกล่าวอ้างความเป็นเจ้าของที่ได้ทำมาตั้งแต่สมัยพ่อสมัยแม่  ทางสภาตำบลยางชุมใหญ่   (ขณะนั้นยังเป็นสภาตำบลลิ้นฟ้า )  ได้เสนอให้ทางรัฐออกมารังวัด และสงวนปักหลักเป็นทีสาธารณะประโยชน์ ในปี พุทธศักราช 2525 ปัจจุบันรัฐยังสงวนไว้และยังไม่มีการดำเนินการอะไร การบุกรุกและการอ้างสิทธ์ก็ยังคงดำเนินการต่อไป จนบางครั้งแม้แต่กรรมการของสภาตำบลยางชุมใหญ่เอง ยังเคยมีผู้นำบางคน เสนอให้ทางสภาตำบลฯ ทำหนังสือเสนอขอยกเลิกที่สาธารณะประโยชน์แปลงนี้ แต่ตามหลักการทางกฎหมายแล้ว เมื่อได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะประโยชน์แล้ว ถ้าจะยกเลิกจะทำได้ยากมาก เพราะจะต้องเสนอกฎหมายเข้าสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรี เป็นผู้อนุมัติ และเมื่อเป็นที่สาธารณะแล้ว การที่เราจะเดินเรื่องเอาที่เหล่านั้นมาออกโฉนดเป็นของตัวเองก็ทำไม่ได้ เพื่อความสบายใจของผู้ทำประโยชน์ ถ้ารัฐเขายังไม่ทำอะไรเราก็ทำมาหากินไป แต่ถ้าเข้าจะจัดทำ จัดสร้างสถานที่ราชการเราก็คงต้องออก เพราะฉะนั้นการปลูกการฝังต้นไม้ควรเป็นพืชอายุสั้น และไม่ควรปลูกสร้างอาคาร ซึ่งอาจมีปัญหาในภายหลัง
ดงบ้านแวง ห่างจากหมู่บ้านออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นดงไม้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าที่มีตำนานเล่ามาว่าเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่เคยมีความเจริญมาก่อน  มีประชากรอยู่อาศัย  มีการสร้างวัดวาอาราม   มีเศษอิฐหัก อันเป็นรากฐานของโบสถ์สิมโบราณ มีต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ใช่ไม้ป่า แต่เป็นไม้ในหมู่บ้านคนอาศัยมาก่อน เช่น  ต้นมะม่วงใหญ่ ต้นมะขาม สถานที่แห่งนี้น่าจะได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้ แต่ปัจจุบันจะเป็นด้วยความโลภของมนุษย์หรือความอดอยากของประชากรก็ไม่ทราบ  มีผู้คนในท้องถิ่น จากบ้านยางชุมใหญ่ จากบ้านจอม เข้าไปจับจอง ตัดต้นไม้ทำลายป่า ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทำแปลงเกษตรปลูกหอม กระเทียม หมดสิ้นสภาพความเป็นป่า คงเป็นเพียงไร่สวนของชาวบ้าน ถ้าสอบถามคนแก่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไปจะทราบว่าครั้งหนึ่งเคยมีก้อนอิฐโบสถ์เก่า เคยมีต้นไม้ใหญ่ สถานที่แห่งนี้เป็นของส่วนรวมที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีการทำลาย แต่ด้วยลัทธิทุนนิยม ความอยากได้ อยากมี ประกอบกับอิทธิพลของคน ได้ทำลายศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจนหมดสิ้น ช่วงประมาณปีพุทธศักราช 2524  เป็นช่วงที่หอมมีราคาแพง การบุกรุกทำลายป่าจึงมีมาก ความเห็นแก่ตัวของคน การแย่งชิงแผ่นดินทำกินมีความรุนแรงมากถึงขนาดญาติพี่น้องกันเองก็ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ให้มีการจับกุมซึ่งกันและกันบ่อย  ถึงขนาดทำศึกสงครามย่อย กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง  โดยชาวบ้านเองก็มีกองสอดแนม คอยสอดส่องตำรวจ เมื่อตำรวจมาก็ถอย กลับก็ลงมือตัดไม้ทำลายป่าขุดรากไม้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เป็นแปลงหอม โดนจับบ้าง ประกันได้บ้างไม่ได้บ้าง ยอมเสียเงินบ้าง และบางรายถึงขนาดจุดตะเกียงให้แสงสว่างในตอนกลางคืนตัดไม้ขุดรากไม้ในตอนกลางคืน สุดท้ายป่าดงบ้านแวงแห่งนี้มีแต่ชื่อได้ขนานนาม คนที่อยากอนุรักษ์คนที่เห็นความสำคัญของแหล่งประวัติศาสตร์มีน้อยและไม่มีบทบาทสำคัญในบ้านเมือง ความเสื่อมถอยของวัฒนธรรมความดีงามของบรรพชนถูกทำลายไปสิ้นน่าเสียดาย ดงบ้านแวงแห่งนี้มีผู้นำบางท่าน ได้ขอสงวนไว้เป็นสถานที่ เลี้ยงสัตว์ บางท่านต่อต้านรักษาแต่ก็ถูกทำลายอย่างราบคาบ ซึ่งอาจารย์บุญชู  วะรงค์ (อ.วิวัฒนพงษ์  วะรงค์) ชาวบ้านจอมเคยแต่งบทเพลง ดงบ้านแวง กล่าวถึงพ่อใหญ่จารย์ลี ผู้ต่อสู้ต้องการอนุรักษ์ ส่วนชาวยางชุมใหญ่มีการบุกรุกในรอบนอกมีเฉพาะการร้องเรียน ซึ่งกันและกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนมากกว่าจะรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งรายละเอียดไม่ขอกล่าวในหนังสือตรงนี้ ปัจจุบันดงบ้านแวงก็คือแปลงหอมนั้นเอง